คอนอร์ เบนน์ ยอมรับว่าในไฟต์แรกกับ คริส ยูแบงก์ จูเนียร์ เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา เขาเต็มไปด้วยความโกรธและความคับข้องใจที่สะสมมานาน ซึ่งทำให้เขา “ถูกความรุนแรงครอบงำ” ตลอด 12 ยกบนสังเวียน
เบนน์ ซึ่งมีสถิติในเวลานั้น 23-1(14 น็อกเอาต์) กล่าวกับ จอห์น เดนนีน ของ Sky Sports ว่า หลังจากประสบปัญหาเรื่องผลตรวจยาที่ไม่ผ่าน(คลอมิฟีน) ในปี 2022 เขารู้สึกว่าอารมณ์เหล่านั้นให้ความเข้มข้นและความดุดันที่จำเป็นในการขึ้นชกคืนเวที และบนคืนการแข่งขันเขาก็ส่งมอบสิ่งที่สัญญาไว้ — การแลกหมัดหนักหน่วงและจังหวะที่ดุเดือดกับ ยูแบงก์ จูเนียร์
อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นฝ่ายเปิดเกมรุกและเชื่อว่า “ทำให้คู่ต่อสู้เจ็บปวดและดูเปราะบางในหลายช่วง” เบนน์ ยอมรับว่าเขาไม่เคยคิดตรวจสอบคะแนนระหว่างยก และความตั้งใจจะใช้ความรุนแรงจนเกินไปนั้นอาจทำให้เขาขาดความเยือกเย็นในบางจังหวะ “ผมคิดว่าผมใกล้จะน็อกเขาจริง ๆ แต่ผมกลายเป็นคนโลภในจังหวะนั้น” เขากล่าว “มันคือการขาดวินัย — ผมผิดหวังตัวเองเรื่องการขาดวินัยมากกว่าสิ่งอื่นใด”
เมื่อกรรมการให้คะแนนแล้วผลออกมาว่า ยูแบงก์ จูเนียร์ เป็นผู้ชนะ เบนน์ เล่าว่าเขารู้สึกช็อกและเชื่อว่าเขาน่าจะเป็นฝ่ายชนะ “ผมคิดว่าผมคุมจังหวะ ผมลงช็อตหนักกว่า ลงช็อตที่ทำให้เห็นผลมากกว่า แต่ก็ต้องยอมให้เขาในยก 11 และ 12 งานของเขาคือมีอัตราการออกหมัดต่อเนื่อง แม้มันจะไม่ใช่ช็อตที่ทำลายล้าง เขาทำให้เกมมันยุ่งเหยิงและใช้มวลตัวได้ดี” เบนน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะไม่คิดว่าเป็นการปล้นคะแนน แต่ความใกล้เคียงของผลทำให้เขารู้ว่า “การขาดวินัยของผมเป็นสิ่งที่ทำให้แพ้ไป”
เบนน์ จะมีโอกาสแก้ตัวเมื่อทั้งคู่มีคิวรีแมตช์กันในวันที่ 16 พฤศจิกายนที่ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ สเตเดี้ยมอีกครั้ง คราวนี้ เบนน์ หวังว่าจะใช้ความเยือกเย็นและวินัยมากขึ้น โดยลดการขายความขัดแย้งและโฟกัสที่การชกด้วยความชัดเจนและมีแผนมากกว่าเดิม เพื่อให้สามารถลืมอดีตและลงชกด้วยสมาธิที่สงบนิ่งขึ้น
ผู้ชมคาดหวังการแข่งขันที่ยังคงมีความดราม่าแต่มีเทคนิคและการจัดการตัวเองมากขึ้น — ถ้า เบนน์ คุมอารมณ์และเพิ่มวินัยตามที่ตัวเองตั้งใจ การคืนสนามครั้งนี้อาจเป็นบทพิสูจน์ว่าการเปลี่ยนวิธีการชกจะนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ต่างออกไป